แพลงค์ตอน เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก ล่องลอยอยู่ในกระแสน้ำ
การที่แพลงก์ตอนมีขนาดเล็กมาก
ทำให้เรามีโอกาสที่จะมองเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ได้น้อย
หากเราลองตักน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ มาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
เราจะมองเห็นแพลงก์ตอน ตัวใสๆหลากสีสันได้ชัดเจนขึ้น
แพลงก์ตอนที่เราพบจากแหล่งน้ำแต่ละแหล่ง ก็จะมีองค์ประกอบของชนิด
และปริมาณแตกต่างกันไป เช่น แพลงก์ตอนในน้ำจืดก็จะไม่เหมือนกับในน้ำทะเล
แพลงก์ตอนในน้ำที่มีคุณภาพดี ก็จะไม่เหมือนกับที่เราพบในน้ำเสีย
ซึ่งความแตกต่างนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากแพลงก์ตอนแต่ละชนิด มีความต้องการอาหาร
และสามารถเติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง
แพลงก์ตอนทะเล สายพันธุ์อาร์ทีเมีย ซาลินา (Artemia Salina)
อาศัยอยู่ในทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของแร่ธาตุต่างๆ สูงมาก
มันจึงต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายนี้ให้ได้
แพลงก์ตอนชนิดนี้ จะใช้การห่อหุ้มตัวเองเพื่อเข้าสู่การจำศีล
เพื่อให้รอดจากสภาวะกดดันนี้ ซึ่งจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี
ในระหว่างการจำศีล จะมีการเก็บสะสมพลังงานไว้ใช้ ในรูปของสารชนิดหนึ่ง
แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงดีขึ้น แพลงค์ตอนก็จะออกจากการจำศีล
และเอาสารที่เก็บไว้นี้ เปลี่ยนกลับมาเป็นพลังงาน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเซล
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาและตั้งชื่อสารนี้ว่า จีพีโฟร์จี (GP4G)
และสามารถสกัดเอาสารนี้จากแพลงค์ตอนทะเลมาใช้ประโยชน์ได้
สารสกัดจากแพลงค์ตอนเป็นสารที่ให้พลังงานสูงแก่เซล
จากการทดลองพบว่า สามารถให้พลังงานแก่เซลผิวเพิ่มสูงขึ้นถึง 40%
และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสูงขึ้นถึง 54% ภายในเวลาเพียง 2 วัน
นอกจากนี้ยังช่วยปกป้อง DNA ของเซลผิว จากการทำลายของรังสี UVB ได้
สารสกัดจากแพลงค์ตอน มักจะนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางระดับโลกเท่านั้น
เมื่อเราใช้เครื่องสำอางที่มีสารสกัดจากแพลงค์ตอนเป็นส่วนผสมอย่างต่อเนื่อง
เราจะพบว่า ผิวหน้าสดชื่นขึ้น หน้าไม่หมองคล้ำ ผิวหน้ามีชีวิตชีวามากขึ้น
สารสกัดจากแพลงค์ตอน ให้ผลในการเพิ่มพลังงานแก่เซล
ทำให้เซลผิวสามารถนำสารอื่นๆไปใช้ในการสร้างเซลใหม่
และซ่อมแซมเซลที่ถูกทำลายจากสาเหตุภายใน คือ อนุมูลอิสระ เอนไซม์ ฮอร์โมน
หรือปัจจัยภายนอกคือมลภาวะ ฝุ่น ควัน แสงแดด สารพิษต่างๆ
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้แก่เซล
ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้สูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็วด้วยค่ะ
